Design (Alone) Cannot Change (Everything)

1 - 7 December 2008

at Grand Hall, 1st Floor, Siam Discovery
Designers' Talk : 1 Dec 2008, 16.00 pm
Opening : 1 Dec 2008, 18.30 pm

Supported by

Supported by

11.29.2551

โปสเตอร์กับความเป็นศิลปะสาธารณะ


บทความโดย สันติ ลอรัชวี


“โปสเตอร์” สิ่งพิมพ์ที่อยู่เคียงข้างพื้นที่สาธารณะมาโดยตลอด ผมมีความสุขและคุ้นเคยกับการยืนมองและอ่านเนื้อหาที่จัดวางอยู่บนโปสเตอร์   โปสเตอร์บางใบดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหามันตั้งแต่ตอนเห็นในระยะไกล และบางใบก็สะกดให้ผมยืนมองเนิ่นนาน ที่ผ่านมาไม่ว่าจะรับใช้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับรัฐ องค์กร สินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม โปสเตอร์ก็เป็นสื่อหลักสื่อหนึ่งที่นักออกแบบสื่อเลือกใช้เมื่อจะต้องนำเสนอเนื้อหาไปสู่สาธารณะ

ดังนั้นอาจเรียกได้ว่า “โปสเตอร์” ก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับนักออกแบบกราฟิกมาโดยตลอดเช่นกัน 


สำหรับผมจึงเป็นเรื่องแปลกถ้าพบนักออกแบบซักคนที่ไม่เคยออกแบบโปสเตอร์เลย (แม้กระทั่งตอนเรียน) 

ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 16 ปี จากโปสเตอร์ใบแรกที่ผมออกแบบเพื่อส่งงานในชั้นเรียน จนถึงโปสเตอร์ใบล่าสุดที่ผมออกแบบสำหรับนิทรรศการโปสเตอร์นี้ ทำให้ชวนคิดว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการออกแบบโปสเตอร์ในบ้านเรา ในขณะที่รูปแบบโปสเตอร์ก็มีความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย สังคม การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ  เทคโนโลยี มาตามลำดับ ตั้งแต่ยังไม่มีอาชีพนักออกแบบกราฟิก จนกระทั่งปัจจุบันที่มีนักออกแบบหน้าใหม่จบออกมาเป็นพันคนต่อปี


เรื่องหนึ่งที่ผมนึกถึงก็คือ “พื้นที่ติดโปสเตอร์ ” ที่นับวันจะลดลงจนบางครั้งนึกไม่ออกว่าจะเอาโปสเตอร์ที่ได้มาไปติดให้ที่ไหน ในยุคสิบกว่าปีก่อน เสากลมบริเวณริมถนนบางสายเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีคนมาติดโปสเตอร์กันมาก มีคนนำโปสเตอร์ไปติดเพิ่มตลอดทั้งวัน ติดตอนเช้ามืด บ่ายก็โดนติดทับแล้ว แต่ก็จะโดนติดทับตอนหัวค่ำอีกที ส่วนถ้าติดที่กำแพงแถวสยามฯ โดยมากมักจะคิดซ้ำจนเต็มกำแพงเพื่อความชัดเจน แต่เวลาโดนทับก็มักจะโดนทั้งกำแพงเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นความไร้ระเบียบในการใช้พื้นที่สาธารณะ


แต่ถึงอย่างไรเสากลมก็ไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ในขณะที่ผนังบริเวณสยามแสควร์ก็เหลือน้อยมากแล้ว


พื้นที่สื่อสารสาธารณะที่เคยมีกำลังจะหมดไป ในขณะพื้นที่สื่อสารสาธารณะใหม่ก็เกิดขึ้นทดแทน แต่ก็มีคนตั้งคำถามไว้มากเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะใหม่นั้นๆ ว่าเข้าถึงได้ยากหรือต้องเข้าไปภายใต้การกำกับอย่างเข้มงวด จนทำให้พื้นที่นั้นไม่เป็น “สาธารณะ” จริง หรือไม่ก็มีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องจนกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน จนต้องรับอิทธิพลของทุนหรือกลายเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ไปโดยปริยาย

แรกเริ่มพื้นที่สาธารณะเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้นของฮาเบอร์มาส นักวิชาการเยอรมัน มองเห็นความสำคัญของโลกการสื่อสารและบทบาททางการเมืองของกลุ่มชนชั้นใหม่ในสังคมยุโรปช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบบการเมืองรูปแบบประชาธิปไตยในคริสต์วรรษที่ 18 การสื่อสารตามร้านกาแฟ ร้านตัดผมหรือร้านค้าในชุมชน เป็นศูนย์รวมของการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าและนายทุน มีโอกาสนำเรื่องการเมืองมาตรวจสอบและกดดันให้เกิดความโปร่งใส พื้นที่สาธารณะมีความหมายตรงกันข้ามกับพื้นที่ในราชสำนัก ซึ่งอำนาจทางการเมืองมีการรวมศูนย์ และการตัดสินใจทางการเมืองดำเนินภายในปริมณฑลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะและจำกัดในวงแคบ พื้นที่สาธารณะยังประกอบไปด้วยสื่อหนังสือพิมพ์ ใบปิด ใบปลิว และสิ่งพิมพ์ขนาดเล็กที่เป็นเวทีกลางในการเชื่อมต่อพื้นที่สาธารณะในทางกายภาพจากกลุ่มคนในร้านกาแฟและย่านต่างๆ ให้มีโอกาสพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านพื้นที่สาธารณะในทางสัญลักษณ์ 



แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าพื้นที่ที่เหลือน้อยสำหรับโปสเตอร์จะสวนทางกับปริมาณการใช้สิ่งพิมพ์ในระดับย่อย ซึ่งขอบเขตการนำเสนอเนื้อหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆขยายวงกว้างออกไปอย่างมาก ตั้งแต่ระดับปัจเจกชนไปจนถึงองค์กรต่างๆในชุมชนไม่ว่าจะเป็น สหภาพแรงงาน องค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายทางด้านสิ่งแวดล้อม โรงเรียนสอนพิเศษ โบสถ์หรือวัด  และมีประเด็นต่างๆที่กล่าวถึงอาณาเขต หรือปริมณฑลแห่งหนึ่งแห่งใดโดยเฉพาะเจาะจงมากขึ้น  เช่น กลุ่มผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี /ลูกหนี้บัตรเครดิต / ผู้ติดบุหรี่หรือสุรา  เป็นต้น ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้จากหน่วยงานเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนั้นๆ เราจะสามารถเห็นโปสเตอร์ในสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ อยู่เสมอ แต่ขอบเขตในการเผยแพร่ก็จะจำกัด ทั้งๆ ที่บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมในวงกว้าง เกินกว่าจะติดอยู่แค่ในหน่วยงานเท่านั้น


ในเมื่อพื้นที่สาธารณะสำหรับโปสเตอร์ลดน้อยลงจนไม่มีความจำเป็นต่อการใช้โปสเตอร์  ไม่ว่าโปสเตอร์ใบนั้นจะถูกออกแบบและสื่อสารได้ดีเพียงใด  มันก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพออกไปได้ถ้าโปสเตอร์เหล่านั้นไม่มีพื้นที่แสดงตัวออกไป บางทีทำให้คิดไปว่านี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของศิลปะการออกแบบโปสเตอร์หรือไม่... 


คุณประชา สุวีรานนท์ เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบทความรายสัปดาห์ว่า “หัวใจของงานออกแบบต้องมีพันธสัญญาระหว่างไตรภาคี อันได้แก่ ลูกค้าหรือสถาบันที่มอบหมายหรือว่าจ้างและสาธารณชน ซึ่งหมายถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ดู” อีกทั้งยังกล่าวถึงคุณค่าของโปสเตอร์ไว้ด้วยว่า “ความเป็นศิลปะสาธารณะของโปสเตอร์กำลังเสื่อมลงพร้อมกับความหมายของคำว่า “พื้นที่สาธารณะ” นั่นอาจหมายถึงคุณค่าหรือความเป็นศิลปะของโปสเตอร์อาจจะเป็นผลต่อเนื่องมาจากการแสดงตัวตนหรือเนื้อหาของมันออกไปสู่สาธารณะ นั่นจึงจะทำให้โปสเตอร์ใบนั้นมีตัวตนครบถ้วนเพราะได้ทำหน้าที่ของมันออกไปอย่างสมบูณ์แล้ว


ปลายปี พ.ศ. 2550 นิทรรศการ “ศิลปะแห่งการคอร์รัปชั่น” ซึ่งจัดแสดงที่หอศิลป์ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้เชิญนักออกแบบกราฟิก 8 คน ให้ร่วมสร้างสรรค์และแสดงผลงานโปสเตอร์ในพื้นที่แสดงนิทรรศการศิลปะร่วมกับศิลปินทางด้านทัศนศิลป์คนอื่นๆ ซึ่งถือเป็นอีกปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการจัดสรรพื้นที่ให้กับโปสเตอร์แสดงตัวในอีกบริบทหนึ่งที่ไม่ใช่นิทรรศการจัดแสดงผลงานโปสเตอร์ที่เคยออกแบบมารวบรวมให้ชม แต่เป็นการออกแบบโปสเตอร์เพื่อเหตุผลในการจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการโดยเฉพาะ จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่า นิยามร่วมสมัยของโปสเตอร์คืออะไร / ระหว่างการจัดแสดงนิทรรศการกับการพิมพ์โปสเตอร์เพื่อแจกจ่ายไปติดตามสถานที่ต่างๆ รูปแบบไหนจะมีคนพบเห็นและรับรู้เนื้อหามากกว่ากัน / โปสเตอร์ที่พิมพ์เพียงเพื่อจัดแสดงนั้น ความเป็นศิลปะสาธารณะจะยังคงอยู่หรือไม่  ฯลฯ


เราทุกคนแม้จะมีความเป็นส่วนตัว แต่ทุกคนก็ต้องมีวาระที่เป็นชีวิตสาธารณะด้วย แม้การแต่งตัวของเราก็สามารถสื่อสารอะไรบางอย่างออกไปแก่ผู้พบเห็น ดังนั้นการที่โปสเตอร์แต่ละใบมีสถานภาพแตกต่างกัน อาจไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือความเป็นสื่อสาธารณะหมดไป หากเพียงสาระที่บรรจุอยู่นั้นยังมีประโยชน์เพียงพอต่อผู้พบเห็น 


สำหรับคนทำงานออกแบบโปสเตอร์คนหนึ่ง ในการพบเห็นโปสเตอร์แต่ละใบมีความรู้สึกยินดีมากกว่าความรู้สึกอื่นที่คละอยู่ เพราะไม่ว่าโปสเตอร์ที่เราออกแบบจะติดอยู่ที่ไหนก็ตาม การมีอยู่ของโปสเตอร์แต่ละใบ ต่างพื้นที่ ต่างวาระนั้น นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่ของพื้นที่สาธารณะ การมีอยู่ของศิลปะการออกแบบโปสเตอร์ ที่นักออกแบบกราฟิกและพลเมืองของสังคมคนหนึ่งอาจใช้ปกป้องวิชาชีพและพื้นที่สาธารณะเอาไว้ ด้วยการผลิตแผ่นกระดาษที่จะเข้าไปแบ่งปันพื้นที่ที่นับวันจะมีเจ้าของกันหมดแล้ว...

 


ไม่มีความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม